administrator administrator

รีบสมัครด่วน! หาคนทำงานที่มาเก๊า เงินเดือนสูงสุด 50,200 บาท

รีบสมัครด่วน! หาคนทำงานที่มาเก๊า เงินเดือนสูงสุด 50,200 บาท

กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า กับนายจ้างบริษัท Venetian Cotai Hotel Management Limited และ Venetian Macau Limited รับสมัครตั้งแต่วันที่ 8-20 ก.พ. 66 โดยรับสมัครจำนวน 5 ตำแหน่ง รวมจำนวน 60 อัตรา

สำหรับตำแหน่งงานจำนวนที่ต้องการ และอัตราค่าจ้าง

F&B Server (พนักงานเสิร์ฟ)

  • จำนวน 10 อัตรา
  • ค่าจ้าง 12,100 เหรียญมาเก๊าต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทราว 50,200 บาท

Room Attendant (พนักงานดูแลทำความสะอาดห้องพัก)

  • จำนวน 20 อัตรา
  • ค่าจ้าง 10,500 เหรียญมาเก๊าต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทราว 43,500 บาท

Public Area Attendant (พนักงานดูแลทำความสะอาดพื้นที่ทั่วไป)

  • จำนวน 20 อัตรา
  • ค่าจ้าง 11,800 เหรียญมาเก๊าต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทราว 48,900 บาท

Guest Service – Guest Relations Officer (Bell) (พนักงานยกกระเป๋า)

  • จำนวน 5 อัตรา
  • ค่าจ้าง 11,084 เหรียญมาเก๊าต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทราว 46,000 บาท

Front Office – Guest Relations Officer (พนักงานต้อนรับส่วนหน้า)

  • จำนวน 5 อัตรา
  • ค่าจ้าง 13,515 เหรียญมาเก๊าต่อเดือน คิดเป็นเงินบาทราว 46,000 บาท

(อัตราแลกเปลี่ยนตามข้อมูลสำนักงานแรงงาน ณ เมืองฮ่องกง : 1 เหรียญมาเก๊า เท่ากับ 4.15 บาท)

คุณสมบัติของผู้สมัครโดยทั่วไปทุกตำแหน่ง

  • มีความสามารถภาษาอังกฤษระดับดี หากสื่อสารภาษาจีนกลาง หรือภาษาอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีนกวางตุ้น จะได้รับการพิจารณาพิเศษ
  • มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 1 ปี

คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

F&B Server (พนักงานเสิร์ฟ)

  • เพศชาย/หญิง อายุระหว่าง 21-30 ปี
  • ส่วนสูงขั้นต่ำ เพศหญิง 163 ซม. เพศชาย 170 ซม.
  • การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป (ม.6)
  • หากมีประสบการณ์โรงแรมระดับ 4-5 ดาว หรือร้านอาหารคุณภาพจะพิจารณาพิเศษ
  • มีความสุขภาพ เรียบร้อย บุคลิกภาพที่ดี ทัศนคติที่ดี

Room Attendant (พนักงานดูแลทำความสะอาดห้องพัก)

  • เพศหญิง/ชาย อายุระหว่าง 21-35 ปี
  • การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป (ม.6)
  • มีความสุขภาพเรียบร้อยและบุคลิกภาพที่ดี

Public Area Attendant (พนักงานดูแลทำความสะอาดพื้นที่ทั่วไป)

  • เพศหญิง/ชาย อายุระหว่าง 21-40 ปี
  • การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป (ม.3)

Guest Service – Guest Relations Officer (Bell) (พนักงานยกกระเป๋า)

  • เพศชาย อายุระหว่าง 21-35 ปี
  • การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป (ม.6)
  • มีความสุขภาพเรียบร้อย มีบุคลิกภาพที่ดี มีใจรักบริการ

Front Office – Guest Relations Officer (พนักงานต้อนรับส่วนหน้า)

  • เพศหญิง/ชาย อายุระหว่าง 21-35 ปี
  • ส่วนสูงขั้นต่ำ เพศหญิง 160 ซม. เพศชาย 170 ซม.
  • การศึกษาระดับปริญญาตรี หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง
  • มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และความรู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Opera จะพิจารณาพิเป็นพิเศษ
  • มีความสุขภาพเรียบร้อย มีบุคลิกภาพที่ดี และมีใจรักบริการ

สวัสดิการในการจ้างงาน

  • ตั๋วเครื่องบินจากไทยไปยังมาเก๊า เพื่อรายงานตัวไปทำงาน และมาเก๊ามายังประเทศไทยเมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้าง
  • ที่พักชั่วคราว ตามที่กฎหมายแรงงานมาเก๊า และนโยบายของบริษัทกำหนด
  • นายจ้างจัดอาหารให้ในระหว่างเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่
  • มีประกันสุขภาพ
  • สวัสดิการอื่นๆ ที่มิได้ระบุ ให้เป็นไปตามกฎหมายแรงงานมาเก๊า

รับสมัครระหว่างวันที่ 8-20 ก.พ. 66 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) สามารถยื่นใบสมัครได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางอีเมล์ โดยให้ดำเนินการ 2 ขั้นตอนภายในวันเดียวกัน คือ ยื่นใบสมัครทางอีเมล์ และกรอกข้อมูลเบื้องต้นลงใน Google Forms

CRC ทุ่มงบ 28,000 ล้านบาท สร้าง The Next Sustainable Growth

CRC ทุ่มงบ 28,000 ล้านบาท สร้าง The Next Sustainable Growth

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินแผนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence และสร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส โดยสร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้ในปี 2565”

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 เซ็นทรัล รีเทล มองเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีกและบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว โดยเซ็นทรัล รีเทล อัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มกำลัง บนยุทธศาสตร์

CRC Retailligence ที่เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างเซ็นทรัล รีเทล ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ

เป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 ตามเจตนารมณ์การเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย โดยเป้าหมายทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้จริงจากการสร้างปรากฏการณ์ The Next Sustainable Growth ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย

1. Accelerate Core Leadership – เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักในทั้ง 3 ประเทศ

  • กลุ่มแฟชั่น : ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มแฟชั่น โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรี่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้
  • กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในกลุ่มฮาร์ดไลน์ของประเทศไทย ด้วยการเร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้
    กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้
  • กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2567
    สร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป

2. Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ บนแพลตฟอร์ม Next-Gen Omni Retail เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติให้แก่ผู้บริโภค

ทั้งในด้าน Experience-driven ที่เชื่อมโยงทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ การใช้ AI เพื่อมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแบบ Smart Retail รวมถึงการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย Agile Commerce และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกที่ทุกเวลาแบบ Multi-Moment

3. Build New Growth Pillars – ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนาม

4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off – ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A พร้อมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นี้

“ทั้ง 4 กลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 2566 ราว 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ตอกย้ำการเป็น Green & Sustainable Retail ผ่าน 4 กลยุทธ์ ‘ReNEW’ โดยตั้งเป้าระยะสั้น

ในปี 2566 ที่จะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ให้ได้ 30%, ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% และลดการใช้น้ำ 10%, เพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสัดส่วน 20% ของสินค้าทั้งหมด และเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก โดยเซ็นทรัล รีเทล พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้กับคนเจนเนอเรชั่นต่อๆ ไป” นายญนน์ กล่าวสรุป

ราคาทองวันนี้ 3กุมภาพันธ์2566 ลุ้นทองคำแท่งหลุดบาทละ 30,000 บาท

ราคาทองคำ

ราคาทองวันนี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง มาดูกานอัปเดตกัน ราคาทอง ราคาทองคำ ประจำวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09:37 น. ครั้งที่ 1 ลดลง 50 บาท ลุ้นทองคำแท่งหลุดบาทละ 30,000 บาท

ราคาทองรูปพรรณ และราคาทองคำแท่ง

ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 29,900.00 บาท ขายออกบาทละ 30,000.00 บาท

ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 29,364.92 บาท ขายออกบาทละ 30,500.00 บาท

ราคาทองวันนี้ 2 สลึง หรือ 50 สตางค์

ทองคำแท่ง 2 สลึง รับซื้อ 14,950 บาท ขายออก 15,000 บาท

ทองรูปพรรณ 2 สลึง รับซื้อ 14,682.46 บาท ขายออก 15,250 บาท

ราคาทองวันนี้ 1 สลึง

ทองคำแท่ง 1 สลึง รับซื้อ 7,475 บาท ขายออก 7,500 บาท

ทองรูปพรรณ 1 สลึง รับซื้อ 7,341.23 บาท ขายออก 7,625 บาท

ราคาทองวันนี้ 1/2 สลึง (ครึ่งสลึง)

ทองคำแท่ง 1/2 สลึง รับซื้อ 3,737.5 บาท ขายออก 3,750 บาท

ทองรูปพรรณ 1/2 สลึง รับซื้อ 3,670.615 บาท ขายออก 3,812.5 บาท

ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้ เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลง 30 สตางค์ต่อลิตร

ราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันวันนี้ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ในกลุ่มบริษัท ปตท. และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดลง 0.30 บาทต่อลิตร  ส่วน Super Power GSH95 และกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 2 ก.พ. 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

ราคาน้ำมัน มีผล 2 ก.พ. 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

  • เบนซิน 95 : 43.76 บาทต่อลิตร
  • แก๊สโซฮอล์ 95 : 35.95 บาทต่อลิตร
  • แก๊สโซฮอล์ 91 : 35.68 บาทต่อลิตร
  • E20 : 34.04 บาทต่อลิตร
  • E85 : 34.49  บาทต่อลิตร
  • ดีเซล : 34.94 บาทต่อลิตร
  • B20 : 34.94 บาทต่อลิตร

(ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่)

ธอส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 66

ธอส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 66

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 ม.ค. 66 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อโดยให้มีผลทันที

ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 4 ติดต่อกัน รวมปรับขึ้น 1% ต่อปี นับตั้งแต่การปรับขึ้นในเดือน ส.ค. 65 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน และการเงิน (ALCO) ของ ธอส. จึงได้มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 66 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาด

ทั้งนี้ ในปี 2565 ธอส. ได้มีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้มาโดยตลอดเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยให้ลูกค้าเงินกู้ของธนาคารให้ได้มีเวลาปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต และยังเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 2 ปี 9 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 63 อีกด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จาก 6.15% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.40% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) จาก 5.75% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้น เป็น 6.00% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้เบิกเกินบัญชี (MOR) จาก 5.90% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้น เป็น 6.15% ต่อปี

ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว

นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและ

พัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 และโครงการประกันรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยโอนเงินให้เกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน)

เป็นเงินกว่า 53,769.45 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4.67 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1-14 เป็นจำนวนเงินกว่า 7,833.59 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 2.74 ล้านครัวเรือน

ในวันนี้ (25 ธ.ค. นี้) ธ.ก.ส. ได้ทำการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 แก่เกษตรกรอีกกว่า 16,222 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 80.23 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน)

ครั้งที่ 8 เป็นเงินกว่า 69.49 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 10,694 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 15 และงวดที่ 1 – 14 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 10.74 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 5,528 ครัวเรือน

เปิดรายได้ “เม พรีมายา” เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมพรีมายา

เปิดรายได้ "เม พรีมายา" เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมพรีมายา

เปิดรายได้ของ “เม พรีมายา” เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมชื่อดัง พรีมายา ที่กำลังเป็นกระแสในโลกโซเชียล เน้นการตลาดออนไลน์เป็นหลัก กับรายได้-กำไรที่ไม่ธรรมดา พรีมายา เป็นหนึ่งในธุรกิจอาหารเสริมชื่อดังที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวเน็ตอย่างล้นหลาม โดยเจ้าของพรีมายา ผู้ก่อตั้ง คือ เม พิชญ์นรี ตันติวิทย์ หรือ เม พรีมายา CEO PRIMAYA ที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2558 และจดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ภายใต้ชื่อบริษัท พรีมา มายา จำกัด

เม พรีมายา เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อนิตยสารชื่อดังอย่าง Hello ว่า เธอเกิดและเติบโตที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนโรงเรียนวัดที่มีเด็กเพียง 100 คน ที่บ้านเปิดร้านขายของชำ และทำสวนยางพารา น้ำประปาไม่มีใช้ ถนนเป็นดินลูกรัง แต่ด้วยความขยันช่วยพ่อแม่ทำมาค้าขาย จึงเป็นแรงส่งให้ เม พรีมายา เริ่มธุรกิจสมัยช่วงที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วย

การขายน้ำอโวคาโด เพื่อเก็บเงินส่วนหนึ่ง ไปสร้างแบรนด์สบู่เป็นของตนเอง พร้อมกับเจียระไนตนเองให้ดูดีเสมอ ทั้งรูปร่าง หน้าตา จนได้เป็นดาวโรงเรียน เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ทำให้มีฐานคนติดตามเยอะ เมื่อไลฟ์ขายสินค้าเลยทำกำไรได้ 30,000 – 40,000 บาท ต่อมาจึงสร้างแบรนด์ MAYA ผลิตลิปสติกและมาสคาร่าที่เมดีลเองกับโรงงานในจีน

ยอดขายดีมาก จนสร้างรายได้หลักแสนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ต่อมาจึงได้ยุติการทำแบรนด์เครื่องสำอาง และหันมาจับธุรกิจเสริมอาหารจึงเป็นที่มาของ พรีมายา จวบจนปัจจุบัน

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท พรีม่า มายา จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2560 โดยมี น.ส.พิชญ์นรี ตันติวิทย์ และ นายสิทธานต์ สรรเสริญ เป็นกรรมการบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ ขายปลีกเครื่องสำอาง ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

  • ปี 2560 รายได้ 748,021.00 บาท กำไร 610.72 บาท
  • ปี 2561 รายได้ 1,920,822.47 บาท กำไร 450,683.04 บาท
  • ปี 2562 รายได้ 8,649,550.78 บาท กำไร 472,200.38 บาท
  • ปี 2563 รายได้ 21,962,998.24 บาท กำไร 1,343,321.39 บาท
  • ปี 2564 รายได้ 33,632,860.48 บาท กำไร 8,041,136.68 บาท

ราคาทองวันนี้ 12มกราคม66 ครั้งที่ 1 ลดลง 50 บาท ราคาทองน่าซื้อมั้ย

ราคาทองคำ

ราคาทองวันนี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง มาดูกานอัปเดตกัน ราคาทอง ราคาทองคำ ประจำวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2566 เวลา 09:32 น. ครั้งที่ 1 ราคาทองเพิ่มขึ้น 100 บาท

ราคาทองวันนี้ 12 มกราคม 2566 ราคาทองรูปพรรณ และราคาทองคำแท่ง

ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 29,650.00 บาท ขายออกบาทละ 29,750.00 บาท

ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 29,122.36 บาท ขายออกบาทละ 30,250.00 บาท

ราคาทองวันนี้ 2 สลึง หรือ 50 สตางค์

ทองคำแท่ง 2 สลึง รับซื้อ 14,825 บาท ขายออก 14,875 บาท

ทองรูปพรรณ 2 สลึง รับซื้อ 14,561.18 บาท ขายออก 15,125 บาท

แวะเต็มก่อนกลับบ้าน! ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้ขึ้นทุกชนิด 60 สตางค์ต่อลิตร

แวะเต็มก่อนกลับบ้าน! ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้ขึ้นทุกชนิด 60 สตางค์ต่อลิตร

ราคาน้ำมันวันนี้ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ในกลุ่มบริษัท ปตท. และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 5 ม.ค. 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

ราคาน้ำมันนี้ มีผล 5 ม.ค. 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

เบนซิน 95 : 42.46 บาทต่อลิตร

แก๊สโซฮอล์ 95 : 35.05 บาทต่อลิตร

แก๊สโซฮอล์ 91 : 34.78 บาทต่อลิตร

E20 : 33.14 บาทต่อลิตร

E85 : 33.29 บาทต่อลิตร

ดีเซล : 34.94 บาทต่อลิตร

B20 : 34.94 บาทต่อลิตร

(ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่)

ราคาทองคำ ยังไม่เลือกทิศทางรอดูปัจจัยชี้นำหลังปีใหม่

แนวโน้มราคาทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทอง บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด รายงานว่า ราคาทองคำ Spot แกว่งในทางบวกจากความคาดหวังของตลาดที่ให้น้ำหนักมากขึ้นว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแค่ 0.25% ในการประชุมครั้งแรกของปีหน้า เนื่องจากยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาตรงตามคาด และทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องมานาน

หลายเดือน ทำให้ตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เฟดใช้พิจารณาสภาพเศรษฐกิจ อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่ง ค่าเงินดอลลาร์จึงอ่อนลง แรงซื้อจีงกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง และทองคำก็ได้อานิสงส์ในเชิงบวก ทั้งนี้ SPDR Gold Trust ไม่เปลี่ยนแปลงยอดสุทธิ โดยยังคงถือครองทองคำ 918.51 ตัน

คืนนี้สหรัฐจะรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเขตชิคาโกประจำเดือน ธ.ค. ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งหมายถึงการหดตัวลงของภาคธุรกิจติดกันเป็นเดือนที่ 4 จึงจะยิ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าภาคเอกชนอาจรับไม่ไหวกับภาระดอกเบี้ยที่ยังไม่แตะจุดสูงสุดและเป็นสัญญาณเตือนว่าปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว

ราคาทองคำ Spot ปรับบวกขึ้นมาอยู่ในช่วงกลางระหว่างกรอบในระยะสั้น 1,800-1,825 ดอลลาร์ จึงไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางในระยะถัดไปได้ และจำเป็นต้องรอดูปัจจัยใหม่ในต้นปีหน้า เพราะราคาสามารถแกว่งรอในกรอบดังกล่าวต่อไปได้อีกระยะ หรืออาจวิ่งทะลุกรอบออกไปได้ทันทีที่มีปัจจัยบวกหรือลบเข้ามากระทบ ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นในการเทรดสวิงในกรอบระยะสั้นแบบขึ้นขายลงซื้อ และต้องคอยจับตาการเบรกกรอบด้วย